ถ่ายไม่ออกเกิดจากอะไร | รู้แบบนี้ ” ขับถ่าย “สบายไปทั้งชีวิต
ถ่ายไม่ออกเกิดจากอะไร รู้แบบนี้ ” ขับถ่าย “สบายไปทั้งชีวิต ความผิดปกติในการขับถ่ายจัดเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิตประจำวัน อาการนี้สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย อย่างการถ่ายไม่ออก ท้องผูก ถ่ายไม่คล่อง รู้สึกไม่สบายตัว อึดอัด พุงป่อง ท้องอืด และมันเป็นปัญหาที่ช่างกวนตัวกวนใจไปหมด
เรามาดูสาเหตุหลัก ๆ กันดีกว่าว่ามีพฤติกรรมอะไรบ้างที่ทำให้เราถ่านไม่ออกจนไม่หายจากอาการถ่ายยากซักที
1. ใจจดใจจ่อกับโซเชียล หรือเล่นโทรศัพท์มากเกินไป
2. รับประทานอาหารที่ไม่มีเส้นใย กินแต่ข้าวขาว ขนมปังขาว ก๋วยเตี๋ยว ขนมเค้ก ฯลฯ
3. ใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยหรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงทำให้สูญเสีย โพรไบโอติกส์ ที่เป็น “แบคทีเรียดี” มีส่วนช่วยให้ลำไส้แข็งแรงมีสุขภาพดีขึ้น ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ถ้าร่างกายขาดแบคทีเรียชนิดนี้ล่ะก็ ตัวลำไส้จะเสียสมดุล ทำให้เกิดอาการท้องผูกหรือท้องเสียสลับกันได้
4. เป็นมนุษย์ธาตุหนัก ลองทุกอย่างที่เค้าว่าดี โยเกิร์ต นมเปรี้ยว ก็ยังเอาไม่อยู่!
5. ปล่อยปละละเลย ไม่ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา
เมื่อเราลุกขึ้นมาปรับการกินอาหาร ดื่มน้ำ และเพิ่มการเคลื่อนไหวของร่างกายแล้ว ง่าย ๆ คือทำทุกอย่างเพื่อสร้างสุขนิสัยให้ร่างกายขับถ่ายได้เป็นปกติ แต่อาการถ่ายไม่ออกก็ยังคงมีอยู่เป็นประจำไม่หายขาด ควรหาเวลาไปปรึกษาแพทย์เพื่อซักอาการต่าง ๆ ร่วมกับการตรวจร่างกาย เพื่อหาสาเหตุของโรคบางอย่างที่อาจเป็นสาเหตุของอาการถ่ายไม่ออกได้
ที่มา
https://www.pobpad.com/ท้องผูก
ถ่ายไม่ออกเกิดจากอะไร รู้ 12 วิธีนี้ โล่งสบาย ไปทั้งชาติ
มีปัญหา ถ่ายไม่ออกทำยังไงดี ?! เราเข้าใจดีว่า ไลฟ์สไตล์ ของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป ทำให้ไม่สามารถขับถ่ายทุกเช้าในเวลา 05.00-07.00 น. ตรงตามนี้ แต่ของอย่างนี้มันฝึกกันได้นะคะ ให้นึกไว้เสมอว่าเพื่อสุขภาพที่ดี ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้ มันอาจส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณมากมายกว่าที่คิดไว้อีกนะ
แต่ถ้าปัญหาเกิดขึ้นแล้วก็ต้องรีบแก้ไขให้ทันท่วงทีค่ะ ห้ามปล่อยไว้นาน ต้องคิดว่าทำอย่างไรถึงจะเพิ่มปริมาณอุจจาระและทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มเคลื่อนที่ได้ง่ายขึ้น ซึ่งวิธีดูแลตัวเองยามถ่ายไม่ออก เป็นวิธีเดียวกันกับการป้องกันท้องผูก มีหลากหลายวิธีด้วยกันดังนี้
1. มีสมาธิกับการถ่าย
อย่าใจจดใจจ่อกับโซเชียล หรือการเล่นโทรศัพท์มากเกินไปจนลืมไปว่าภารกิจหลักของเราตอนนี้ คือการ “ขับถ่าย”
2. เพิ่มอาหารที่มีกากใย
เพราะผักผลไม้ อาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ถั่ว ฟักทอง ข้าวโพด จะช่วยให้ระบบขับถ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นการกินแต่อาหารที่มีกากใยน้อย เช่น น้ำผลไม้ที่ไม่มีกาก ผลไม้กระป๋อง จึงทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ไม่เต็มที่
3. ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ
เพราะผลข้างเคียงของยาปฏิชีวนะบางตัว ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองของระบบทางเดินอาหารร่วมด้วย
4. ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา
การฝึกสุขนิสัยในการขับถ่าย ควรขับถ่ายในช่วงเวลาเดิม ตอนเช้าช่วง 05.00 – 07.00 น. จะดีที่สุด
5. ยืดเส้นยืดสายหลังตื่นนอน
ลุกขึ้นเดินไปเดินมา หรือ ขยับร่างกายนิดๆหน่อยๆ หลังตื่นนอน เพราะจะช่วยทำให้ลำไส้เกิดการบีบตัวดีขึ้น จนเกิดความรู้สึกว่าอยากเข้าห้องน้ำ
6. รู้จักเผื่อเวลา
ควรให้เวลากับการขับถ่าย ต้องถ่ายอย่างมีความสุข ไม่ควรรีบเร่ง หรือกดดันตัวเอง
7. ดื่มน้ำสะอาด
เพราะการดื่มน้ำทำให้อุจจาระของคุณนิ่มลง ดื่มให้ได้อย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้ว แต่ต้องมั่นใจแล้วว่าไม่มีโรคให้ต้องจำกัดน้ำดื่ม เช่น โรคหัวใจล้มเหลว
8. ไม่อั้นอุจจาระในตอนเช้า
อย่างที่เราย้ำกันไปหลายรอบแล้วว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ช่วง 05.00 – 07.00 น. เมื่อมีสัญญาณเตือนจากร่างกายว่าปวดท้องขับถ่ายต้องรีบเข้าห้องน้ำ ถ้าเลยช่วงเช้าหรือเวลาดังกล่าวไปแล้ว กว่าร่างกายจะส่งสัญญาณอีกอาจจะนาน จนทำให้เวลาผิดเพี้ยน
9. เคลื่อนไหวร่างกายบ้าง
ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ไม่เอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ วันที่ไปออฟฟิศควรหลีกเลี่ยงการนั่งติดโต๊ะนานๆ ฝึกทำโยคะท่าง่ายๆ ยืดเส้น ยืดสายบ้าง เพราะการนั่งอยู่กับที่นานๆ ก่อให้เกิดผลเสียมากมาย
นอกจากจะส่งผลเสียต่อระบบการย่อยอาหารแล้ว ยังเสี่ยงเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทอีกด้วย สำหรับวันหยุดพักผ่อน เรา สามารถเคลื่อนไหวร่างกายโดยการทำงานบ้านได้ค่ะ
10. ใช้ตัวช่วย
เก้าอี้วางขาสำหรับชักโครก, ที่เหยียบช่วยขับถ่าย เป็นอุปกรณ์เสริม ช่วยสร้างสมดุลการขับถ่ายให้มีประสิทธิภาพ ด้วยการทำเลียนแบบท่านั่งแบบยอง ช่วยปรับองศาของการนั่ง การวางขาและเท้าให้อยู่ในมุม 35 องศา
จึงทำให้เราไม่เมื่อยจากการนั่งนานๆ พร้อมช่วยกดนวดลำไส้ใหญ่ ทำให้ขับถ่ายสะดวกและไม่มีอุจจาระตกค้าง
11. ฝึกนวดลำไส้
เราสามารถบรรเทาอาการท้องผูกได้ด้วยการฝึกนวดลำไส้ วิธีก็ง่ายมากเว่อร์ แค่นวดตรงบริเวณท้อง ล่างซ้ายเลยสะดือไป นวดเบาๆ ทิ้งไว้ จะรู้สึกปวดถ่ายขึ้นมาเอง ถึงเวลานี้ก็จัดแจงเข้าส้วมไปนั่งได้เลยจ้ะ
12. ผ่อนคลายอารมณ์ ลดความเครียด
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเครียด เครียดจนเรื้อรัง อาการอักเสบในทางเดินอาหาร จะมาถามหาคุณอย่างแน่นอน เราขอแนะนำหนทางลัดๆ ทำตัวเองให้แฮปปี้ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ฝึกทำอาหาร ทำสมาธิ ฝึกโยคะ ฯลฯ
เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มรู้ตัวว่าขับถ่ายยาก หรือ อุปนิสัยในการขับถ่ายเริ่มเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งๆ ที่ปรับพฤติกรรมการกินอาหาร ดื่มน้ำ และเพิ่มการเคลื่อนไหวของร่างกายแล้ว
พูดง่าย ๆ คือทำทุกอย่าง แต่อาการถ่ายไม่ออกก็ยังคงมีอยู่ไม่หายขาด ควรหาเวลาไปปรึกษาแพทย์เพื่อซักอาการต่าง ๆ ร่วมกับการตรวจร่างกาย เพื่อหาสาเหตุของโรคบางอย่างที่อาจเป็นสาเหตุของอาการถ่ายไม่ออกได้
ขอย้ำว่าไม่ควรใช้ยาแก้ท้องผูกเอง เพราะการใช้ยาแก้ท้องผูกบ่อย ๆจะยิ่งทำให้การขับถ่ายยากมากขึ้น และอาจต้องเพิ่มปริมาณใช้ยามากขึ้นจนอาจก่ออันตรายได้ เช่น คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง แต่ถ้าจะใช้ยาแก้ท้องผูกเองจริงๆ ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาเสมอ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา
ที่มา
https://goodlifeupdate.com/healthy-body/79359.html
https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php?id=29
ทำไมอุจจาระถึงแข็ง
ทำไมอุจจาระถึงแข็ง เคยสังเกตตัวเองกันไหมว่า เวลาที่อุจจาระออกมาแล้ว มีลักษณะเป็นอย่างไร? เราควรให้ความสำคัญกับอุจจาระ เพราะสีหรือลักษณะที่เปลี่ยนไป ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ร่างกายของเราขับออกมาเพื่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ
หนึ่งสาเหตุยอดฮิตที่ทำให้คนส่วนใหญ่ขับถ่ายยาก คือ อุจจาระแข็ง เกิดจากการที่ชอบกลั้นอุจจาระเป็นประจำ ถึงเวลาไม่ยอมเข้าห้องน้ำ การอั้นไว้ ลำไส้ใหญ่จะทำงานโดยดูดน้ำกลับเข้าสู่ร่างกาย ทำให้อุจจาระเริ่มแข็งตัวเพราะขาดน้ำ ส่งผลให้ก้อนอุจจาระแข็งและแห้งยิ่งขึ้น
“อุจจาระแข็ง” มีสีน้ำตาล หรือดำ มีลักษณะเป็นก้อนหินเม็ดเล็กๆ ทุกเม็ดจะแข็งมากๆ ส่งกลิ่นเหม็นมาก นั่นเพราะในลำไส้ขาดน้ำ และอุจจาระไปแข็งค้างอยู่ในลำไส้นาน ส่งผลทำให้เกิดโรคท้องผูก
ดังนั้น ผู้ที่มีอุจจาระแบบนี้จึงควรดื่มน้ำเยอะๆ และทานอาหารที่มีกากใยมาก เพื่อให้ลำไส้ทำงานดีขึ้น และที่สำคัญอย่ากลั้นอุจจาระเด็ดขาด เพราะ”ริดสีดวงทวาร” จะถามหาเอาได้
แล้ว “อุจจาระที่ดี” ต้องเป็นอย่างไร อุจจาระที่ดีควรจะมีสีเหลือง มีลักษณะเป็นขดเป็นวง กลิ่นไม่แรงมาก ใครเป็นเจ้าของอุจจาระแบบนี้ ต้องบอกว่ามีสุขภาพร่างกายและมีสภาพจิตใจที่ดีเยี่ยม
ทำไมท้องถึงป่อง รู้แบบนี้ พุงยุบไปอีกนาน
ปัญหาโลกแตกของสาวๆ นอกจากเรื่องความอ้วนแล้ว ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องพุง บางคนไม่ได้อ้วน แต่มีพุง บางคนอ้วน ลดความอ้วนยังไงพุงก็ไม่ลด พุงเจ้ากรรมนี่แหละยิ่งทำให้เกิดอาการนอยด์กันเข้าไปใหญ่ พุงอ้วน พุงกลม พุงย้อย พุงห้อย หรือ อ้วนขึ้นใส่กางเกงไม่ได้
หากอยากให้หน้าท้องสวยแบนราบไร้พุงละก็ การออกกำลังกายอย่างเดียวช่วยไม่ได้ ทางที่ดีควรเลี่ยง 6 พฤติกรรมนี้ไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นพุงกลมๆ จะอยู่กับคุณไปตลอดไป
1. รสเค็มเป็นเหตุ
พวกเธอรู้มั้ยว่า พุงกลม ๆ ที่มันสิงอยู่ในร่างเธอน่ะ อาจจะไม่ใช่ไขมันเสมอไป เพราะบางทีท้องที่ป่องบวมอาจเกิดมาจากการขาดน้ำก็เป็นได้ นั่นเป็นเพราะการกินในแต่ละวัน ที่มีแต่ของรสจัด รสเค็ม และโซเดียมในปริมาณที่มากเกินไป ว่าแต่ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ ? ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าตื่นเช้ามาพุงบวม ตัวบวม เพราะอาหารเมื่อคืนนั่นไงล่ะ!
อาหารที่เรารับประทานในแต่ละวันอาจมีเกลือโซเดียมแอบแฝงอยู่จนเกินความต้องการของร่างกาย อาทิเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว น้ำซุป ปลาร้า แกงไตปลา เป็นต้น จริงๆ ทานได้แต่เราควรทานให้พอดี และออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือถ้าตัดของพวกนี้ออกไปได้ รับรองว่าหน้าท้องสวยแบนราบ หยุดทานเค็มกันก่อนที่ตัวจะบวม เตือนแล้วนะ !
2. ปล่อยให้ท้องผูก
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า อาการท้องผูกมันทำให้พุงป่องได้ แหม พุงใหญ่แน่ๆล่ะ ถ้าไม่ยอมถ่ายเลย แถมยังทำให้อึดอัดไม่สบายตัวไปอีก อยากใส่เสื้อเอวลอยที่เค้าฮิตๆกันก็ไม่กล้า หมดไปเลยกับความมั่นใจ ลองหันมาเพิ่มการกินผักผลไม้หรืออาหารที่มีไฟเบอร์สูง
อย่างเช่น ฝรั่ง มะม่วง แครอท ข้าวโพด ถั่วลิสง ดูซิ มันช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ดีทีเดียว รับรองว่าหมดปัญหาพุงป่องแน่นอน
3. ดื่มหนัก
เตือนสาวนักดริ๊งค์ ปาร์ตี้เกิร์ลทั้งหลายแหล่ พวกเธอจำเป็นต้องรู้ คิดจะดื่มแอลกอฮอล์จะต้องแบกรับความเสี่ยงสูงที่พุงจะพลุ้ยกว่าชาวบ้านเค้า เพราะทุกๆ แก้วที่ดื่มเข้าไปแคลอรีคือสูงมากเว่อร์ และเบียร์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่าจะให้พลังงานมากกว่า เพราะแอลกอฮอล์ 1 กรัมนั้นให้พลังงานมากถึง 7 แคลอรี่
โอ้มายก้อด ยิ่งดื่มมากก็จะยิ่งส่งผลให้ไขมันเข้าไปสะสมตรงท้องมากเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าไปปาร์ตี้ดื่มเยอะแบบไม่ยั้ง แบบนี้จะไม่ให้มีพุงได้ยังไงล่ะ
4. กินไขมันผิดประเภท
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการลดความอ้วนที่คนส่วนใหญ่มักเชื่อกันก็คือการหยุดกินอาหารประเภทไขมันไปเลย จริงๆ แล้วเป็นวิธีที่ผิดมาก เพราะยังไงร่างกายของเราก็ยังต้องการไขมัน เพราะอาหารที่มีไขมันบางอย่างมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกกินไขมันดี ๆ หรือไม่ เช่น ไขมันจากอะโวคาโดหรือในถั่ว ที่มีส่วนช่วยกำจัดไขมันเลวในร่างกายออกไป และที่สำคัญควรเลี่ยงกินไขมันไม่ดีอย่างไขมันทรานส์ที่อยู่ในอาหารจำพวก คุกกี้ เนย อาหารสำเร็จรูป และอาหารทอด เพราะอาหารไขมันทรานส์สูงพวกนี้แหละตัวการของการมีพุง
5. นอนน้อยลงพุง
บอกเลยว่าพุงพลุ้ยๆของคุณ จะไม่หายไปไหนแน่นอน ถ้าทุกวันนี้ยังนอนไม่ถึง 6 ชั่วโมง ! น้ำหนักก็มาพาหุ่นเสียไปอีก การนอนน้อยจะทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือ เรียกง่ายๆว่า ฮอร์โมนนอนไม่หลับเพิ่มขึ้น เจ้าฮอร์โมนตัวนี้จะเก็บกักไขมันไว้ที่หน้าท้อง เป็นอีกสาเหตุของการลงพุง อีกทั้งยังทำให้ฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้นสูงปรี๊ด
ดังนั้น จัดสรรเวลาให้พักผ่อนให้ดี นอนให้พอ ร่างกายจะช่วยเผาผลาญได้ดีกว่า ทางที่ดีนอนให้ได้ 6-8 ชั่วโมงจะช่วยให้ไร้พุง แถมสุขภาพจิตและสุขภาพกายดีด้วยนะ
6. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
การกินใยอาหารที่มีกากใยน้อยไม่เพียงแต่ทำให้ท้องผูก ถ่ายยาก แต่ยังทำให้พุงกลมๆ ของคุณไม่หนีไม่หายไปสักที ไฟเบอร์หรือใยอาหารเป็นตัวช่วยที่ดี ที่จะช่วยลดไขมันที่สะสมตรงพุงได้ หากสาวคนไหนสนใจอยากให้พุงยุบเร็ว ๆ ละก็ ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หันมาทาน ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ถั่วต่างๆ หรือ อะโวคาโด กันดีกว่านะคะ
ที่มา
