ท้องผูกอาการเป็นอย่างไร เจาะลึกสาเหตุ และการบรรเทาเบื้องต้น
ท้องผูกอาการเป็นอย่างไร มาเช็คพร้อมหาวิธีป้องกันไปพร้อม ๆ กัน เพราะการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ คำ ๆ นี้ยังใช้ได้ในชีวิตประจำวันของเรา เชื่อหรือไม่ว่า ในปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการรักษาหลาหลายรูปแบบ ทั้งโรคทั่วไป ไปจนถึงโรคร้ายแรง เริ่มที่จะมีวิธีรักษาที่มากขึ้น สะดวกมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบันที่พวกเรายังคงอยู่กับสถานการณ์โรคระบาดก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าต้องอยู่ร่วมกับโรคภัยไข้เจ็บเหล่านี้ให้ได้ สำหรับวันนี้พวกเราจึงได้รวบรวม อาการท้องผูก ซึ่งเป็นอาการที่คนทำงาน หรือ ผู้ที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ต้องประสบพบเจอเป็นประจำ ซึ่งวันนี้พวกเราจะมาทำความรู้จักกับ สาเหตุของอาการท้องผูก ท้องผูกคืออะไร และท้องผูกอาการเป็นอย่างไร รวมทั้งวิธีที่จะช่วยให้อาการท้องผูกบรรเทาได้ดีขึ้นในเบื้องต้นนั่นเอง ถ้าใครได้พบเจอกับอาการแบบนี้บ่อย ๆ สามารถติดตามอ่านบทความนี้ได้เลย เพราะจะเป็นข้อมูลที่เข้าใจง่าย และ จะทำให้คุณอยู่กับ อาการท้องผูกได้อย่างมั่นใจ พร้อมวิธีแก้ที่โรคนี้จะไม่มารบกวนชีวิตของคุณอีกนาน
สาเหตุของอาการ ท้องผูกอาการเป็นอย่างไร
ระบบขับถ่าย ถือได้ว่าเป็นระบบที่สำคัญมากที่สุดสำหรับร่างกาย เมื่อเราได้กินอาหาร,เครื่องดื่ม รวมไปถึงของอร่อยที่อยู่ในรายการของแต่ละวัน ร่างกายก็จะมีการดูดซับสารอาหารเข้าร่างกาย ก่อนที่จะกลายเป็นกากอาหาร หรือ ของเสีย พร้อมทั้งส่งไปยังลำไส้ใหญ่ ไปจนถึงทวารหนักต่อไป มาดูกันว่าถ่ายไม่ออกเกิดจากสาเหตุอะไร พร้อมกับสาเหตุหลักของอาการท้องผูก มีด้วยกัน 4 เหตุผลนั่นก็คือ
1.การทานอาหาร หรือ ปฏิบัติตัวไม่ถูกต้อง
เริ่มต้นจากการรับประทานอาหาร ที่เป็นเรื่องหลัก เพราะเป็นจุดแรกที่เรากินเข้าไปสู่ร่างกาย ซึ่งการทานอาหารที่มีกากใยน้อย อีกทั้งยังดื่มน้ำน้อยด้วย ก็จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ อีกทั้งการปฎิบัติตัวที่ไม่ถูกต้องอย่างเช่น การที่ไม่ออกกำลังกาย หรือ เคลื่อนไหวร่างกายเลย อีกทั้งยังมีการกลั้นอุจจาระบ่อย ๆ ก็ทำให้เป็นสาเหตุที่เกิดอาการท้องผูกได้ เมื่อคุณมีการกระทำแบบนี้ ในชีวิตประจำวัน
2.การเบ่งอุจจาระผิดวิธี
จะบอกได้ว่าพฤติกรรมนี้ มีโอกาสอยู่ที่ 30% ของอาการท้องผูกได้เช่นกัน เพราะว่าการทำงานที่ไม่ประสานกันภายในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนกล้ามเนื้อที่ควบคุมส่วนของการเบ่งอุจจาระ นั่นก็คือมีการออกแรงเบ่งมาพร้อมกับการขมิบหูรูดทางทวารหนัก ไปด้วย เมื่อแรงเบ่งไม่มากพอ ก็จะไม่สามารถที่จะเอาชนะแรงต้านบริเวณหูรูดนั่นเอง แน่นอนว่าอุจจาระก็ไม่สามารถเคลื่อนออกมาได้ ดังนั้นแล้วการขับถ่ายที่ผิดวิธีอาจจะส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกได้เช่นเดียวกัน
3.สาเหตุจาก การทำงานของลำไส้ใหญ่ผิดปกติ
เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เป็นปัญหาภายในร่างกายที่ตัวเราเองไม่สามารถรับรู้ได้ การทำงานของลำไส้ใหญ่ที่ผิดปกติ จะส่งผลให้ การเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ช้าลง ซึ่งจะส่งผลที่อันตรายก็คือ อุจจาระ เคลื่อนที่มาช้ากว่าในแบบที่เคยเป็น แต่สาเหตุนี้จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีการตรวจแบบส่องกล้องตรวจดูการเคลื่อนผ่านของอุจจาระภายในลำไส้ใหญ่ หรือ ที่เรียกว่า Colonic transit time แต่โดยทั่วไปแล้วสาเหตุนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้เพียง 5-6% เท่านั้น
4.สาเหตุ จากการใช้ยาบางชนิด
สำหรับสาเหตุนี้จะเกิดได้แบบเห็นได้ชัด ในผู้ป่วยโรค พาร์กินสัน,โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น ซึ่งจะรวมไปถึงการใช้ยาลดความดันโลหิต,ยาลดกรดที่มีส่วนผสมของแคลเซียม รวมทั้งตัวยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของมอร์ฟีน นั่นเอง แน่นอนว่าสาเหตุนี้ผู้ที่ได้รับตัวยาที่กล่าว อาจจะเกิดอาการท้องผูกได้
เจาลึกสาเหตุที่แท้จริงของ “อาการท้องผูก”
หลังจากที่ได้รู้จักสาเหตุของอาการท้องผูกกันไปเบื้องต้นแล้ว คงจะประเมินกันได้ว่า ปัญหาที่แท้จริงก็คือเรื่องพฤติกรรมในการกินอาหาร สาเหตุที่แท้จริงก็คือพฤติกรรมในการกินอาหารที่มีกากใยน้อย อีกทั้งปัญหาใหญ่เลยก็คือผู้ที่ไม่ค่อยได้ดื่มน้ำ ก็จะทำให้ร่างกายขาดสมดุล แน่นอนเลยว่าเป็นปัญหาหลักของอาการท้องผูก แทบจะ 60% ขึ้นไปเลยทีเดียว หรือ เรียกง่าย ๆ ว่า ใครที่เป็นบ่อยก็จะทราบกันดีว่าสาเหตุมาจากตัวเองเอง
ส่วนสาเหตุอื่นที่แท้จริง กับเรื่องภายในภายร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในการตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป ซึ่งมีโอกาสที่เกิดจากสาเหตุนี้น้อยมาก แต่ถ้าใครที่ไม่สบายใจก็ลองไปรับการตรวจได้ด้วยตนเอง เพื่อความปลอดภัย และ ความมั่นใจในอนาคต
ท้องผูกอาการเป็นอย่างไร พร้อมวิธีบรรเทาอาการเบื้องต้น
สำหรับอาการท้องผูกนั้น มีวิธีบรรเทาในแบบเบื้องต้นได้หลัก ๆ อยู่ 2 วิธีด้วยกัน นั่นก็คือ การใช้ยาระบาย กับ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกิน หรือ การใช้ชีวิต แต่ละแบบก็จะมีข้อดี-ข้อเสีย ที่แตกต่างกันไป ซึ่งพวกเราจะขออธิบายความหมายสั้น ๆ ของการใช้ยาระบายกันสักเล็กน้อย ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.ใช้ยาระบาย ท้องผูกหายได้ แต่ต้องระวัง!
ถึงแม้ว่าข้อดีของยาระบายนั้นจะช่วยให้คุณเอง บรรเทาจากอาการท้องผูกได้ดีขึ้น อีกทั้งยังเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว แต่ทว่า การใช้ยาระบายนั้น ก็ต้องใช้งานตามแพทย์สั่ง รวมทั้งใช้เท่าที่จำเป็น เมื่อการใช้งานผิดวิธี หรือ ผิดขนาด ก็จะทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเราได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าแต่ละชนิดก็ออกฤทธิ์แตกต่างกัน ซึ่งอาจจะส่งผลข้างเคียงได้เหมือนกัน สำหรับตัวยาระบายก็จะมีประเภทที่แยกออกไป ตัวอย่างเช่น
- ยาระบายที่ออกฤทธิ์โดยการเพิ่มปริมาณอุจจาระ ด้วยคุณสมบัติที่สามารถดูดซึม พร้อมทั้งอุ้มน้ำได้ดี ทำให้อุจจาระเป็นก้อน อีกทั้งนิ่มขึ้นด้วย แต่ก็ข้อก็มีเหมือนกัน เพราะถ้าดื่มน้ำไม่เพียงพอ ก็จะทำให้เกิดอาการท้องอืดตามมาได้
- ยาที่ออกฤทธิ์โดยการดูดซึมน้ำกลับเข้ามาในลำไส้ ยกตัวอย่างเช่น Milk of Magnesia ที่แพทย์จะเลือกใช้ยากลุ่มนี้เป็นหลัก ด้วยเหตุที่ว่าไม่พบปัญหาการดื้อยา แต่อาการท้องอืดก็เกิดขึ้นได้
- ยาที่ออกฤทธิ์ทำให้อุจจาระนิ่ม โดยจะเป็นยาที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน ทำให้อุจจาระนิ่มลื่น รวมทั้งเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้ง่ายมากขึ้นกว่าปกติ
- ยาที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ซึ่งยากลุ่มนี้จะมีการกระตุ้นตัวเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหาร ให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น ซึ่งจะเห็นผลได้รวดเร็ว แต่เมื่อใช้งานอย่างต่อเนื่องก็จะเกิดข้อเสียอย่าง การเกิดท้องผูกเรื้อรังได้ เมื่อยังไม่หยุดใช้ก็จะทำให้เกิดผลเสียแก่ร่างกายแทนผลดี
- ยาระบายชนิดสวน สำหรับยาแบบนี้จะเป็นยาที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ รวมทั้งการทำให้อุจจาระนิ่ม โดยจะมีการใช้ทั้งน้ำเกลือเข้มข้น ที่อาจจะทำลาย เยื่อบุผิวลำไส้ได้เช่นกัน โดยยาประเภทสวนนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะจะต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ยาแบบใหม่ ที่จะช่วยแก้ไข ในกรณีที่ไม่สามารถแก้ปัญหาท้องผูกไม่ได้ผล โดยยาตัวนี้จะไปกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ แต่ยาชนิดนี้จะให้ใช้ในผู้ป่วยแต่ละรายไป
2.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกิน บรรเทาอาการท้องผูกได้
เคยรู้สึกกันไหมว่า การกินอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง แน่นอนเลยว่าอาจจะมีคนบางคนที่ใช้ชีวิตในรูปแบบที่ผิดวิธีเป็นอย่างมากกันอยู่ ตัวอย่างเช่นการรับประทานอาหารที่ไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย การกินไม่ตรงเวลา รวมไปถึงการดื่มน้ำ ที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อร่างกายในจำนวนที่น้อยมากต่อวัน ซึ่งถ้าเราปรับเปลี่ยนการกิน หรือ เวลาในการขับถ่ายได้ จะเป็นเรื่องที่ส่งผลดี รวมทั้งบรรเทาอาการท้องผูกเป็นประจำได้เห็นผลด้วย เพราะผู้ที่มีอาการนี้ สามารถกลับมาขับถ่ายได้เป็นปกติ เพียงแค่ปรับรูปแบบการใช้ชีวิตดังต่อไปนี้
3.กิน-ดื่มน้ำให้เพียงพอ และ ออกกำลังกายเป็นประจำ
เรื่องแรกก็คือการรับประทานอาหารที่มีกากใย หรือ ไฟเบอร์ที่มากขึ้น จะทำให้มีการเพิ่มเรื่องของปริมาณอุจจาระ อีกทั้งกระตุ้นการเคลื่อนตัวในลำไส้ใหญ่ให้เร็วขึ้น ดีขึ้น ส่วนอีกเรื่องก็คือ การทานอาหารเช้า ที่คนรุ่นใหม่มักจะลืม หรือ ล่วงเลยเวลานี้ไป ดังนั้นเมื่อเราได้กินอาหารเข้าทุกวัน ก็จะช่วยให้กระเพาะอาหารขยายตัว พร้อมทั้งกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ทำงานเกิดเป็นความรู้สึกอยากขับถ่าย เมื่อทานแล้วจะพบว่ามีอาการอยากจะถ่าย นี่แหละคือจุดสำคัญ ถ้าไม่มีการถ่าย อาการนี้จะหายไปและเกิดปัญหาท้องผูกขึ้นอีกครั้งได้ รวมไปถึงการดื่มน้ำเพื่อให้ขับถ่ายได้สะดวกด้วยเช่นกัน และสิ่งสำคัญเลยก็คือ การออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะเป็นจุดพื้นฐานให้ร่างกายแข็งแรงนั่นเอง
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือ การเจาะลึกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก รวมไปถึงข้อมูลคำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไข หรือ บรรเทาอาการท้องผูก ทั้งในแบบฉบับเร่งด่วน รวมทั้งการปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลัก เพื่อให้อาการ “ท้องผูก” นั้น หายออกไปจากชีวิตคุณได้ทันที อย่างไรก็ตามเมื่อเพื่อน ๆ เลือกที่จะใช้ยาระบายในการแก้อาการ ก็ต้องใช้ในปริมาณที่แพทย์สั่ง ถ้าหากว่ามีอาการบ่อย ก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ แต่ถ้าคุณเองสามารถเปลี่ยนตัวเองตามคำแนะนำเรื่องการรับประทานอาหาร หรือ การหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น เชื่อเลยว่า อาการท้องผูก จะออกจากชีวิตของคุณไปได้ตลอดกาล
อ้างอิงจาก
- Constipation; Symptoms, Causes, Treatment & Prevention : https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/4059-constipation
- Constipation Symptoms and Causes : https://www.webmd.com/digestive-disorders/digestive-diseases-constipation
- How To Get Rid of Constipation : https://www.webmd.com/digestive-disorders/constipation-relief-tips